3 ประตูที่ ลิเวอร์พูล เสียให้ เวสต์แฮม จนนำมาสู่การแพ้นัดแรกในฤดูกาลนี้ผมมองว่ามัน “gentleman” หรือ “คนดีย์” เกินไปสำหรับทีมๆหนึ่งที่ตั้งเป้าไว้ถึงแชมป์ กล่าวคือเพื่อนร่วมทีมคนอื่นปล่อยให้ อลิสซอน ถูกรบกวนจากจังหวะเตะมุมอย่างลำพังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเสีย 2 ประตู และมิดฟิลด์ 3 ตัวรุมเขา 1 ตัวในจังหวะสวนกลับแต่เหมือนกลัวไม่ได้รางวัลแฟร์เพลย์ท้ายซีซั่น ไม่มีแม้แต่คนเดียวทำฟาว์ลทั้งๆที่เกมก็ดำเนินมาสู่นาทีที่ 67 แล้ว ที่น่าเสียดายสำหรับ “หงส์แดง” คือจริงๆ “ขุนค้อน” เล่นในบ้านห่วยกว่านอกบ้านด้วยซ้ำ คือเกมเยือนชนะ 4 เสมอ 1 ยังไม่แพ้ ตรงข้ามกับ ลอนดอน สเตเดี้ยม ที่ชนะแค่ 2 จาก 5 (ก่อนเจอ ลิเวอร์พูล) เหตุผลคือทีมของ เดวิด มอยส์ ออกนอกบ้านสามารถตั้งรับได้อย่างสบายใจเพราะธรรมชาติทีมเจ้าบ้านจะเข้าทำก่อนเสมอ ดังนั้นเมื่อเฝ้าบ้าน ฝั่งตรงข้ามก็คิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน ทำให้ “ขุนค้อน” ต้องแอบฝืนแท็คติกส์ที่ถนัดเล็กน้อย (และแอบเกรงใจแฟนบอลที่เสียเงินเข้ามาดู) การเสียประตูตั้งแต่นาทีที่ 4 เข้าทางเจ้าถิ่นทันทีเพราะแฟนบอล “ทนดูได้” กับการที่ทีมรักลงไปจอดรถบัส ยิ่งเมื่อพิจารณาจากคู่แข่งคือ ลิเวอร์พูล การรักษาประตูนำคือ priority แรก การจะรอให้ TAA เสกประตูจากฟรีคิกมากกว่า 1 ลูกเป็นการขอที่มากเกินไป แนวรับ “หงส์แดง” ทำได้ดีกับการคุม อันโตนิโอ ที่เลือกไปยืนค้ำสู้กับ มาติ๊ป และ VvD โดยตั้งแต่ครึ่งแรกยันตอนสกอร์ 1-1 กองหน้าวัย 31 ปีแทบหายไปจากเกมเพราะพวกริมเส้นไม่ค่อยมีโอกาสได้ครอสสวยๆเท่าไหร่ ลูก 2-1 การเสียบอลหน้าเขตโทษ เวสต์แฮม มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรกับการเจอทีมที่ตั้งรับเป็นแผงขนาดนั้น อย่างที่ผมบอกไปถ้าใครซักคนที่รุมกินโต๊ะ จาร์ร็อด โบเว่น สะกิดนิดหน่อยแลกกับใบเหลืองคงไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์อะไรแบบนี้ ลูกเตะมุม 3-1 หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านี้ที่ เดคลาน ไรซ์ โหม่งชนคาน คุณไปดูไฮท์ไลท์ได้เลยว่า อลิสซอน ไม่สามารถ focus กับลูกบอลได้เต็ม 100 เพราะต้องคอยผลัก อันโตนิโอ ผู้ที่ไม่สนใจบอลใดๆเนื่องจากหน้าที่คือไปยืนรบกวนพ่อหมี “หงส์แดง” เสียประตูแบบนี้อาจเป็นกรณีศึกษาให้คู่แข่งหันมาใช้วิธีนี้กันเยอะขึ้นดังนั้น JK ต้องแก้ลำและต้องมีผู้เล่นคนใดคนหนึ่งต้องปกป้องและ aggressive ให้มากกว่านี้ น่าเสียดายที่ความหวังเล็กๆหลัง ดิวอร์ค โอริกี้ ไล่มา 2-3 แต่ ซาดิโอ มาเน่ ทิ้งโอกาสยืดสถิติไร้พ่ายจากการโขกเผาขนนาที 90 หลุดกรอบชนิดที่เพื่อนกุมหัวแฟนบอลแจกของชำร่วย เดอะ ค็อป อาจมองว่า มาเน่ ไร้ประโยชน์ หรือ โม ซาลาห์ เล่นไม่ออกแต่มองในมุมกลับ คือเกมนี้การที่ ลิเวอร์พูล ไม่เคยขึ้นนำได้เลยและต้องเป็นฝ่ายตามหลังตลอดมันส่งผลทำให้จำนวนแนวรับหน้าเขตโทษ “ขุนค้อน” มันเยอะเกินกว่าจะเล่นได้แบบปกติ อีกจุดนึงที่ผมอยากให้มองคือกลาง creative วันนี้ไม่มีและตัวเลือกก็มีเท่าที่เห็นซึ่ง JK จัดทัพได้ดีสุดเท่าที่จะทำได้ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน หน้าที่หลักอาจจะไม่เหมือน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หรือ ฟาบินโญ่ เพราะแกคือตัว support เกมรุกแต่ด้วยความที่ OX เล่นบอลแบบไม่มี “พิมพ์เขียว” ในหัวจึงสร้างสรรค์ลูกพลิกแพลงไม่เป็น สุดท้ายเราก็ต้องวกกลับมาพูดถึงการที่คุณกลับสู่เกมจากฟรีคิกของ TAA และเป็นฝ่ายคุมเกมตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งมาแพ้ภัยเสียประตูให้คู่ต่อสู่ทั้งๆที่คู่เซนเตอร์คือ มาติ๊ป และ VvD ทำหน้าที่ของตัวเองได้ตามมาตรฐานดีแล้ว ช่วงนั้นแหละครับที่เริ่มมีพื้นที่เพราะฝั่ง เวสต์แฮม ขยับไลน์และปรับ attacking mentality แต่สุดท้ายการเสียประตูง่ายเกินไปทำให้โอกาสที่ว่าหายไปด้วยจนเหมือนหนังม้วนเก่าตอนเสีย 1-0 อัตราการครองบอลหลังจบเกมเกือบ 70% กับการเจอทีมจอดรถบัส คุณต้องรู้อยู่แล้วว่าการตัดเกมกลางสนามตอนเขาสวนกลับมันจำเป็นเอามากๆ ในเมื่อ เดวิด มอยส์ และลูกทีมสามารถใช้โอกาสที่มีอย่างจำกัดและวินัยในเกมรับได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ลิเวอร์พูล ก็ต้องยอมรับสภาพก้นไปว่าวันนี้คุณแพ้เพราะคู่แข่งด้วยตัวเองด้วย จริงๆแล้วน่าจะแพ้นัดแรกในซีซั่นตั้งแต่เจอ ไบรจ์ตัน ที่ แอนฟิลด์ เมื่อสัปดาห์ก่อนด้วยซ้ำเลยกลายเป็น “เลขอั้น” มาระบายออกในเกมนี้ตามสภาพกันไปครับ การแพ้ในช่วงเบรกทีมชาติ 2 สัปดาห์อาจทรมานในแง่ของอารมณ์อยาก “แก้ตัว” แต่พิจารณาจากฟอร์ม 2 นัด 1 แต้มและนัดหน้าต้องเจอ อาร์เซนอล ที่ แอนฟิลด์ ผมว่าพักยาวๆอ่ะดีแล้ว… เอฟเวอร์ตัน 0-0 สเปอร์ส เวลาบอลเปลี่ยนโค้ชผมอยากดูว่ามีความเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหนซึ่ง อันโตนิโอ คอนเต้ ประเดิมคุมนัดแรกกับ สเปอร์ส ในเกมยูโรป้า คอนเฟอร์เรนซ์ (รายการนี้ผมไม่เคยดู) คอนเต้ ยึดแผนเดิมเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกันกับระบบ 3-4-3 เป็นแท็คติกส์ที่ส่งสัญญาณชัดเจนคือต้องการสร้าง balance เกมรับและรุกโดยมีแดนกลางเป็นตัวขับเคลื่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องชม ราฟาเอล เบนิเตซ ที่สั่งให้เด็กๆเล่นเพรสและเข้าบอลแบบ intensive คือไวและหนัก เกมจึงออกมาไวและดูรีบเร่งอยู่ตลอดเวลาซึ่งนักเตะ “คลับไก่” ไม่ค่อยชอบมาตั้งแต่สมัย นูโน่ แล้วและพูดได้ว่าถ้าไม่ใช่ คอนเต้ ทีมเยือนอาจตามหลังไปแล้ว “ท๊อฟฟี่” เหมือนเป็นฝ่ายลาก สเปอร์ส เข้ามาอยู่ในเกมของตัวเองแต่จังหวะที่จะเข้าทำต้องออกด้านข้างเนื่องจากตรงกลางเต็มไปด้วยแข้งชุดสีขาว ไฮท์ไลท์สำคัญคือการพลาดในเกมรับหนเดียวของ “ไก่เดือยทอง” ทำให้ ริชาร์ลิซอน หลุดเดี่ยวและเกือบเป็นจุดโทษหากไม่มี VAR หลัง ฮูโก้ ญอริส ล้มตัวสะกิดบอลแบบบางฉิว แต่ที่น่าเกลียดและทุเรศจัดคือใบแดงของ เมสัน โฮลเกท ในช่วงท้ายเกม เป็นอาชญากรรมลูกหนังที่บัดซบจริงๆ จังหวะนี้ ปิแอร์-เอมิล ฮอยแบร์ก ที่กำลังปรี่เข้าบอลแต่เห็นเหลี่ยมเสียเปรียบเลยชะงักแล้วหันหลังยอมแต่โดยดีแต่ โฮลเกท เคลียร์บอลแล้วฟอลโลว์ ทรู เปิดปุ่มใส่ซะสูง ราฟา วางแท็คติกส์เกือบสมบูรณ์แบบแต่มาพังตั้งแต่ส่ง โฮลเกท ลงสนามในนาที 82 แล้วดันมาแทน อัลลัน ที่ตัดเกมแดนกลางอย่างเด่น อาการเจ็บอะไรก็ไม่มี ใบเหลืองก็ไม่มีติดตัว พอส่ง โฮลเกท ลงมาเล่นเลอะเทอะ แดนกลาง สเปอร์ส กลายเป็นเล่นง่ายทันที ครับ คอนเต้ อาจต้องปรับจูนทีมอีกพักใหญ่เพราะแกเองก็ไม่ใช่เทวดามาจากไหนแต่เริ่มต้นเก็บคลีนชีทอันเป็นปรัชญาหลักของแกถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ดี ส่วนเกมรุกมีการบ้านรออยู่ครับเพราะเกมนี้ยิงไม่เข้ากรอบเลย ใกล้เคียงสุดคือลูกยิงไกลชนเสาของ โล เซลโซ่ ก่อนหมดเวลา 2 นาที (ซึ่งไม่นับว่าเป็นการยิงเข้ากรอบ) ในขณะที่ “ท๊อฟฟี่” ของ ราฟา หยุดสถิติแพ้ 3 นัดรวดได้ในเกมนี้แต่ผลงานโดยรวมยังไม่ค่อยดีเพราะ 5 นัดยังเก็บชัยไม่ได้เลย แอบเป็นห่วง ราฟา ช่วงนี้ไม่น้อยเพราะไล่ดูโปรแกรมแล้วอย่าง “โหด” เพราะหลังเบรกทีมชาติปุ๊บไปเยือน แมนฯซิตี้, เบรนท์ฟอร์ด ก่อนเฝ้าบ้าน 2 เกมเจอ ลิเวอร์พูล และ อาร์เซนอล ต่อด้วยเยือน คริสตัล พาเลซ และ เชลซี ช่วงนี้เทรนด์ไล่โค้ชกำลังมารัวๆซะด้วย หวังว่า “เอลบอส” จะงัดฝีมือเอาตัวรอดเหมือนที่เคยทำได้นะครับ… สถิติ สถิติ สถิติ – ลิเวอร์พูล แพ้เกมแรกในรอบ 26 นัดในทุกรายการ (ชนะ 18 เสมอ 7) เป็นการยุติไร้พ่ายที่ยาวนานของสโมสรนับตั้งแต่เข้าร่วมฟุตบอลลีกเมื่อปี 1983 อีกด้วย – มีเพียง ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ (10 ประตู) เท่านั้นที่ยิงใน พรีเมียร์ลีก ในฐานะตังสำรองให้ ลิเวอร์พูล มากกว่า ดิวอร์ค โอริกี้ (9) โดยประตูในวันนี้เป็นลูกแรกของแข้ง เบลเยียม นับตั้งแต่กรกฏาคมปี 2020 หรือนานถึง 469 วัน (เจอ นิวคาสเซิ่ล) – “หงส์แดง” เสีย 2 ลูกจากเตะมุมในเกมพรีเมียร์ลีกเกมเดียวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สิงหาคม 2017 (พบ วัตฟอร์ด) – ฟรีคิกของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ทำให้เขามีส่วนร่วมกับประตูไปแล้ว 45 ลูก (ยิง 9 แอสซิสต์ 36) เป็นสถิติสูงสุดของกองหลังร่วมกับ ยอร์น อาร์เน่ ริเซ่ (21 ประตู 24 แอสซิสต์) – เวสต์แฮม โกยไป 23 แต้มจากการลงเล่นไป 11 เกมในลีก (ชนะ 7 เสมอ 2 แพ้ 2 ) มีเพียงปี 1975-76 และ 1980-81 เท่านั้นที่สถิติดีกว่า (ทั้ง 2 ซีซั่นได้ 24 แต้ม ปรับตัวเลขจากชนะ 2 แต้มเป็น 3 แต้ม) – เดวิด มอยส์ ปลดล็อกคว้าชัยเกมแรกในรอบ 15 เกมลีกกับการเจอ ลิเวอร์พูล (เสมอ 4 แพ้ 10) นับตั้งแต่เข้าคุมทีม เอฟเวอร์ตัน, แมนฯยูฯ, ซันเดอร์แลนด์ ก่อนมาสำเร็จที่ เวสต์แฮม และยังเป็นชัยชนะของ “ขุนค้อน” เหนือ “หงส์” หนแรกใน 11 เกมลีกที่เจอกันอีกด้วย (เสมอ 2 แพ้ 8) – 9 จาก 10 ประตูที่ เคิร์ท ซูม่า ทำได้มาจากลุกโขก (90%) เป็นค่าเฉลี่ยสูงที่สุดเหนือนักเตะทุกๆคนในพรีเมียร์ลีก (นับเฉพาะคนที่ทำได้ 10+) – สเปอร์ส ยิงไม่เข้ากรอบติดต่อกันเป็นหนแรกนับตั้งแต่ปี 2003-04 (ซีซั่นแรกที่มีการเก็บสถิติ) – นี่คือชัยชนะนัดที่ 54 ในการคุมทีม 100 นัดของ มิเกล อาร์เตต้า ในทุกรายการ มีเพียง จอร์จ เกรแฮม (56) คนเดียวเท่านั้นที่คว้าชัยหลังครบ 100 นัดมากกว่า “เตตวย” – เอริค สมิธ โรว์ เป็นนักเตะคนที่ 4 ที่ยิงประตูใน พรีเมียร์ลีก 3 นัดติดในวัย 21 ปีหรือน้อยกว่า ตามหลัง นิโกลาส์ อเนลก้า, โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส และ เชส ฟาเบรกัส – ปิแอร์ เอเมอริค โอบามายอง ยิงจุดโทษในลีกไม่เข้า 4 จาก 13 ลูกหลังสุด มีแค่ เอียน ไรท์ (6) ที่วืดเป้าให้สโมสรมากกว่า – เบน ฟอสเตอร์ (38 ปี 218 วัน) เป็นนักเตะที่แก่ที่สุดที่เซฟจุดโทษในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ เชย์ กิฟเว่น (40 ปี 129 วัน) ทำไว้ในเกมที่ สโต๊ค พบ เอฟเวอร์ตัน เมื่อปี 2016 แต่ถ้านับเฉพาะที่เจอ “ปืนใหญ่” คนสุดท้ายที่ทำไว้คือ มาร์ค ซวาเซอร์ (40 ปี 35 วัน) เมื่อปี 2012 ในเกมพบ ฟูแล่ม
UFASLOT เว็บสล็อตดีที่สุด By UFASLOT.BET ยูฟ่าสล็อตมาแรง
Ufaslot ยูฟ่าสล็อตออนไลน์ รีวิว ค่ายเกม ยูฟ่าสล็อต ยูฟ่าโบนัสสูง ลงทุนต่ำ เริ่มต้นที่1บาท เล่นได้24ชั่วโมง ทดลองเล่นฟรี ยูฟ่าสล็อตดีที่สุด.